Page 145 - Ebook
P. 145

วิทยาการระบาดของโรคเหงือกอักเสบในประเทศไทยน้น มีอัตราชุกของโรคสูงตั้งแต พ.ศ.2532-2555
                                                                      ั
               ปญหาสภาวะปริทันตในเด็กวัยเรียนและเยาวชน คือ การมีเหงือกอักเสบและการมีหินน้ำลาย พบวาเด็กอายุ 12 ป

                                                                                        (28)
                                                                        ี
                                                                      ั
               พบรอยละ 50-75 และจากผลการสำรวจทันตสุขภาพแหงชาติคร้งท่ 8 ในป พ.ศ.2560  พบวา กลุมเด็กวัยเรียน
               และวัยรุนยังมีสภาวะเหงือกอักเสบ โดยมีสวนของชองปากท่มีสภาวะเหงือกปกติลดลงเม่อเปรียบเทียบ
                                                                                                 ื
                                                                       ี
               กับการสำรวจท่ผานมา รอยละ 34.5 มีเหงือกอักเสบ เลือดออก โดยรอยละ 31.8 มีหินน้ำลายรวมดวย
                             ี
                                           ี
               แตก็ยังมีเด็กอีกรอยละ 16.7 ท่มีหินน้ำลายในชองปากโดยไมมีการอักเสบของเหงือกแตจำเปนตองไดรับ
                             ื
               การขูดหินปูนเน่องจากเด็กกลุมนี้มีโอกาสพัฒนาเปนเหงือกอักเสบได เด็กในกรุงเทพมหานครและเขตชนบท
               มีรอยละเหงือกอักเสบใกลเคียงกันคือ รอยละ 68.9 และ 68.5 ตามลำดับ ในขณะท่เด็กในเขตเมืองเหงือกอักเสบ
                                                                                      ี
                                       ี
                                                         ี
               รอยละ 63.6 ภาคใตมีเด็กท่มีเหงือกอักเสบมากท่สุดรอยละ 75.2 รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือรอยละ
               70.1 ภาคเหนือรอยละ 65.1 และภาคกลางรอยละ 54.9 ตามลำดับ


                       จากรายงานการสำรวจสุขภาพชองปากคร้งท่ 8 โดยใชดัชนี CPI (Community Periodontal Index)
                                                          ั
                                                               (28)
                                                             ี
                                  ั
               การมีรองลึกปริทันตต้งแต 6 มิลลิเมตร พบวามีรอยละ 6.1 ในกลุมอายุ 35-44 ป และรอยละ 12.2 ในกลุม
               อายุมากกวา 60 ป ใน พ.ศ. 2560 ประชากรในภาคกลางมีความชุกของโรคปริทันตต่ำกวาทุกภาค ในขณะท     ี ่
                                                                      ั
                                                                                                       ึ
                                                                                      ึ
               ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความชุกของโรคปริทันตท่มีรองลึกต้งแต 6 มิลลิเมตรข้นไปรอยละ 18.3 ซ่งสูงกวา
                                                             ี
                    ื
                         ึ
               ภาคอ่นๆ ซ่งรอยโรคปริทันตจำเปนตองไดรับการรักษาจากทันตแพทยและเม่อพิจารณาจากสวนในชองปาก
                                                                                   ื
               พบวา ผูสูงอายุกลุมอายุ 60-74 ป มีฟนเหลืออยูในชองปากเฉล่ย 4 ใน 6 สวนตอคน (4 sextants) ในจำนวนนี ้
                                                                     ี
               มีสภาวะเหงือกปกติเฉลี่ย 1.2 สวนตอคน สวนท่เหลือ 2.7 สวน มีหินน้ำลาย มีเหงือกอักเสบหรือมีรองลึกปริทันต
                                                       ี
                          ื
                                                                                        ี
                                               ี
               ท้งในระดับต้นและระดับลึก ในขณะท่กลุมอายุ 80-85 ป มีฟนเหลืออยูในชองปากเฉล่ยเพียง 2 ใน 6 สวนตอคน
                ั
               (2 sextants) และมีเพียง 1 sextant เทานั้นที่มีสภาวะเหงือกปกติ
                 ปจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคปริทันต   (29)


                       ปจจัยเส่ยง (risk factor) หมายถึง ปจจัยใดๆ ก็ตามท่มีสวนสงเสริมหรือเอ้อใหเกิดโรค อยางไรก็ตาม
                              ี
                                                                     ี
                                                                                       ื
                                                                                         ี
                                                       ั
                                              ี
                                                             ิ
               อาจตองมีการแยกระหวาง ปจจัยเส่ยงตอโรคต้งแตเร่มแรก (risk factor) และปจจัยท่ทำใหโรคลุกลามมากข้น
                                                                                                             ึ
                                                                                                    ี
               (progressive factor) ซ่งเปนปจจัยท่ชวยใหสามารถทำนายการเกิดโรคหลังการรักษาได ปจจัยเส่ยงสามารถ
                                    ึ
                                                ี
               แบงไดเปน
















                                                                                                               142
   140   141   142   143   144   145   146   147   148   149   150